รถยนต์ EV คุ้มไหมที่จะซื้อ อะไรที่ต้องเตรียมใจไว้ก่อนที่จะซื้อ เรื่องจริงจากคนใช้รถยนต์ไฟฟ้ามาแล้ว 3 ปี

 ผมเป็นหนึ่งในคนที่เลือกใช้ รถยนต์ EV ตั้งแต่เข้ามาเปิดตัวในเมืองไทยแบบจริงๆ จังๆ ในครั้งแรก ถ้าย้อนไปก็น่าจะเป็นปี 2565 ช่วงกลางปี ถึงปลายปี ที่กระแสรถยนต์ไฟฟ้ามาแรงแบบสุดๆ ในเมืองไทย และเปิดตัวมาในราคาที่ดี ตั้งแต่ 5 แสน ไปจนถึง 1 ล้านต้นๆ ผมเองตัดสินใจเลือกซื้อรถ EV ด้วยเหตุผลที่ว่า ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายในเรื่องของ ค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษารถยนต์สันดาปที่ใช้งานอยู่ จนมาถึงวันนี้ก็ครบรอบ 3 ปี ที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้ามา กับจำนวนระยะทาง 1xx,xxx กม. มีข้อดีอย่างไร ข้อเสียอย่างไร และมีอะไรที่ผมรู้สึกวิตกกังวลอยู่บ้างในตอนนี้ เดี๋ยวผมจะมาเล่าให้ทุกคนได้อ่านกันครับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เซลล์ที่ขายรถไม่ได้บอกกับผมเอาไว้เลย ต้องซื้อเอง ใช้เอง ถึงจะรู้ครับ

รถยนต์ EV คุ้มไหมที่จะซื้อ อะไรที่ต้องเตรียมใจไว้ก่อนที่จะซื้อ


รถยนต์ EV ใช้มาแล้ว 3 ปี มีข้อดี ข้อเสีย อะไรบ้าง?

สะดวกสบายจริง 

อย่างแรกที่ต้องบอกก่อนเลยก็คือ รถ EV มันสะดวกสบายจริงครับ หมายถึงนั่งสบายหรือเปล่า ก็ต้องตอบว่า ไม่ใช่ครับ แต่มันสะดวกตรงที่ มีระบบช่วยเหลือในการขับขี่มากมาย ทุกอย่างดีหมด แอร์ก็เปิดได้ตลอดเวลา เสียงเงียบ ไม่มีควันท่อไอเสียให้เหม็น จอดนอนตรงไหนก็ได้ เปิดแอร์กินไฟแบตนิดเดียว จอดเปิดเครื่องเปิดแอร์ไว้เป็นชั่วโมงๆ ได้สบายๆ จะทำแบบสายแคมป์ไปเที่ยวจอดนอนทั้งคืนก็ยังได้ สะดวกสบายสุดๆ

ประหยัดจริง

อันนี้ต้องบอกก่อนว่า ขึ้นอยู่กับเท้าของแต่ละคน สำหรับผมเองช่วงที่ได้รถมาใหม่ ก็จะขับช้าหน่อย มันเลยประหยัดแบบสุดๆ ตก 1 บาท/กม. ได้เลยนะ แต่ในปัจจุบันพอใช้งานมาจนชิน ก็อาจจะสนุกเท้าไปหน่อย ซิ่งเยอะ ขับสนุกจัดๆ บางวัน บางสถานการณ์ อาจสิ้นเปลืองเพิ่มเป็น 1.5 บาท/กม. แต่โดยภาพรวม ถ้าไม่คิดถึงเงินที่ต้องผ่อนต่อเดือน วัดกันเฉพาะค่าไฟที่เติมรถ เทียบกับน้ำมันแล้ว คนละเรื่องครับ ประหยัดต่างกันเยอะเลย 

รถ EV ใช้งานได้สะดวกสบายจริง แต่ก็มีข้อเสียมากมายที่ผู้ใช้ต้องแบกรับ

ลำบากเวลาเดินทางไกลในช่วงเทศกาล

นี่เป็นข้อเสียใหญ่ที่ในทุกวันนี้ก็ยังเจอปัญหากันอยู่ คือ สถานีชาร์จไม่เพียงพอกับปริมาณรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นทำให้เวลาเดินทางไกลไปต่างจังหวัดในช่วงเทศกาล ที่มีคนเดินทางกันเยอะๆ จะไม่มีที่ชาร์จให้ชาร์จไฟรถครับ สิ่งที่คนใช้รถยนต์ไฟฟ้าต้องแลกมากด้วยการประหยัดค่าเชื้อเพลิงก็คือ "เวลา" ครับ คนที่เหมาะกับการใช้รถยนต์ไฟฟ้า คือ ต้องชิลๆ ไม่รีบ และต้องใจเย็น รอได้ ต้องมีเวลา ตอนชาร์จรถก็ต้องรอ แต่ที่ต้องรอก่อนหน้านั้นก็คือ รอคิวเข้าชาร์จรถนี่แหละ ส่วนใครถนัดการจอง แล้วคิดว่า จองก็ได้นี่ ก็ต้องบอกว่า ในช่วงเทศกาล ถ้าคุณไม่จองล่วงหน้า คำนวณวางแผนการเดินทาง การแวะชาร์จให้แม่นๆ บอกเลย คุณก็อาจจะจองไม่ทัน แล้วก็ต้องไปจองในชั่วโมงถัดไป ก็ต้องรออยู่ดีนั่นแหละ ผ่านมา 3 ปี สถานีชาร์จเพิ่มมากขึ้น แต่ยังไม่มากพอ ก็ยังต้องแย่งกันชาร์จ ยังคงมีความลำบากอยู่สำหรับคนใช้รถ EV ที่ต้องเดินทางไกลข้ามจังหวัด 

ราคาตก 

ด้วยกลยุทธ์การลดราคาเพื่อแข่งขัน กระตุ้นยอดซื้อ ทำให้ราคาของรถมันตกลงไปแบบที่เจ้าของรถไม่ทันตั้งตัว อย่างที่ผมซื้อมา BYD Atto 3 ซื้อช่วงแรกที่เข้ามาเลย ปลายปี 2565 ราคาเน็ตๆ ก็ 1.1 ล้าน ปัจจุบัน ปี 2568 ไปดูเอาละกันว่า เหลือกี่บาท ผ่านมา 3 ปี ราคาหายไปกี่แสน บางคนซื้อผ่อน ก็ต้องบอกว่า ยอดหนี้ที่คุณต้องผ่อน ยังสูงกว่าราคารถของคุณในปัจจุบันเลย ประมาณว่าต่อให้ขายรถไป ก็ยังใช้หนี้ที่กู้มาซื้อรถได้ไม่หมด นี่ถือเป็นเรื่องใหม่มากๆ นะครับ ที่ราคารถจะตกลงมากขนาดนี้ จนเหมือนไม่มีค่าเลยทีเดียว ทั้งที่จริงๆ แล้ว คุณภาพของรถมันดีมากนะ ตั้งแต่ผมใช้งานมายังไม่เคยเจอปัญหาอะไรเลย ทุกอย่างดีหมด แต่ราคาค่าตัวของมันตกลงไปเพราะกลยุทธ์การทำตลาดนี่แหละ ซึ่งตรงนี้ เป็นเรื่องสำคัญที่คุณจะต้องรู้ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ รถยนต์ EV มาใช้สักคันนึง คุณรับได้ไหมกับสถานการณ์แบบนี้?

ประกันภัย แพงมาก แพงแบบไม่มีถูกลง

นี่เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ผมปวดหัวมาก จำได้เลยว่าปีแรก ประกันภัยชั้น 1 อยู่ที่ 28,xxx บาท เห็นจะได้ ครอบคลุมการดูแลแบตให้ 100% ปีที่ 2 เหลือ 25,xxx บาท จากนั้น คปภ. ก็ออกกฎระเบียบมาใหม่ ประมาณว่าถ้าขับดีจะได้ลดราคา แต่ต้องเป็นการต่อกับบริษัทเดิมนะ ถ้าไปเริ่มทำกับบริษัทอื่นก็ต้องเจอเบี้ยเริ่มต้นใหม่ก็ 25,xxx บาท อยู่ดี สรุปคือ ไม่ว่ายังไง เงินที่ต้องจ่ายเพื่อซื้อประกันชั้น 1 ของรถยนต์ไฟฟ้า จะไม่ถูกลงเลย คุณไหวไหมล่ะกับค่าประกันภัยรถยนต์ยอดเงินประมาณ 2.5 หมื่นบาทในทุกๆ ปี รับได้ไหม? 

ขายต่อไม่ได้ ขาดทุนย่อยยับ

อย่างที่บอกไป พอราคารถยนต์ EV ป้ายแดงมันถูกลง ราคามือสองก็ต้องลงให้ต่ำกว่าป้ายแดง คนที่ใช้รถก่อนก็เสียเปรียบ ซื้อแพง ขายต่อไม่ได้ เพราะขาดทุน ก็อย่างที่ผมบอกไป บางคน ณ ปัจจุบัน ราคาขายต่อ ต่อให้ขายได้เต็มราคาที่เราตั้งใจเอาไว้ ก็ยังไม่พอใช้หนี้ไฟแนนซ์เลย เพราะราคามันร่วงลงมาแบบสุดๆ จนแบบ อย่าขายต่อเลย เก็บไว้เถอะ ใช้ไปเรื่อยๆ ห้ามขายต่อ เพราะมันจะขาดทุนแบบสุดๆ ไปเลย เก็บไว้ใช้งานเอง คุ้มกว่า รถ EV บางรุ่นหนักกว่านั้น บริษัทแม่ขาดทุน ทำท่าว่าจะปิด คนที่ใช้งานรถรุ่นนั้นในเมืองไทย ก็รู้สึกเหมือนว่ากำลังจะโดนลอยแพ ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป สับสน วุ่นวายกันไปหมด คุณรับเรื่องนี้ได้ไหมล่ะ ถ้ารับเรื่องพวกนี้ได้ ก็ค่อยตัดสินใจซื้อรถ EV ครับ

อะไหล่รอนาน อนาคตไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าเมื่อหมดประกัน จะมีอะไหล่ให้ซ่อมหรือไม่

ไม่ใช่แค่รถ EV บางรุ่นนะครับ ต้องบอกเลยว่า คนใช้รถ EV ในเมืองไทย "ทุกรุ่น" ต้องรู้สึกแบบนี้ รู้สึกถึงความไม่แน่นอนว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเราบ้างหากเกิดอุบัติเหตุ ต้องเคลม ต้องรออะไหล่ เพราะโพสต์ในกลุ่มเฟสบุ๊คผู้ใช้งานรถ EV แต่ละรุ่น ก็เจอแต่ปัญหาเดียวกัน คือ รออะไหล่นาน บางคนรอ 1 เดือน บางคนรอ 2 เดือน บางคนรอ 6 เดือน หรือ บางคนรอเป็นปีก็มี เรื่องพวกนี้ไม่ควรเกิดขึ้น แต่มันก็เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ ลองไปเข้ากลุ่มเฟสบุ๊คของผู้ใช้รถ EV รุ่นต่างๆ ดู แล้วคุณจะเห็นเองว่า มันเป็นปัญหาขนาดไหน แล้วคุณโอเคไหมล่ะหากซื้อมาใช้แล้ว เวลาเคลม หรือ เวลาซ่อม ต้องรอนานหลายๆ เดือนแบบที่มีบางคนเจอ

ไม่มีทางเลือกอะไหล่เทียม ทุกอย่างต้อง Come From China เท่านั้น 

ด้วยความที่ รถทั้งคัน (สำหรับบางรุ่น) นำเข้ามาจากจีนทั้งคัน และแม้จะมีการตั้งโรงงานผลิตรถ EV ในไทย รถหลายๆ รุ่นก็นำเข้าอะไหล่มาประกอบจากประเทศจีน ไม่ได้จ้างบริษัทในไทยผลิตอะไหล่ให้ ทำให้เวลามีปัญหาอะไร ก็ต้องเบิกอะไหล่ หรือ สั่งซื้ออะไหล่จากประเทศจีน มันทำให้เกิดความไม่มั่นคง และความไม่ยั่งยืน ในการบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้าของเราเอง อนาคตไม่แน่นอน เกิดความกังวลตลอดเวลา และต้องขับดีๆ ท่องไว้ว่า อย่าเกิดอุบัติเหตุ อย่าต้องมีเหตุให้มีอะไรในรถเสียจนต้องเคลม เพราะไม่งั้นก็ต้องเอารถไปจอดรออะไหล่จากประเทศจีนอย่างเดียว คุณรับเรื่องแบบนี้ได้ไหมล่ะ ถ้ารับได้ ก็ซื้อรถ EV เลยครับ

อะไหล่เสียบางชิ้นแต่ต้องเปลี่ยนยกชุด ทำให้มีค่าใช้จ่ายแพงมาก

กล่องควบคุม ซึ่งเป็นหัวใจของ รถยนต์ EV มักจะรวมหลายๆ ฟังก์ชั่นไว้ด้วยกัน
กล่องควบคุม ซึ่งเป็นหัวใจของ รถยนต์ EV มักจะรวมหลายๆ ฟังก์ชั่นไว้ด้วยกัน เวลาฟังก์ชั่นไหนเสียทีนึง ก็ต้องเปลี่ยนยกชุดอย่างเดียว ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายแพงมากๆ


บางค่ายก็ใช้ตัวย่อว่า CDU (Charging Distribution Unit)  บางค่ายก็ใช้เป็น PDC (Power Domain Control) และมีอีกสารพัดกล่องควบคุม และสารพัดชื่อที่จะใช้เรียกกัน แต่เอาเป็นสรุปง่ายๆ คือ ไอ้กล่องควบคุมพวกนี้ มักจะทำออกมาแบบ All-in-one คือ เอาหลายๆ ระบบมารวมกันในกล่องเดียว เพื่อลดต้นทุนในการผลิต ไม่เหมือนรถสันดาป ที่แยกกันเป็นกล่องๆ ไป กล่องควบคุมตัวไหนเสียก็ซ่อมแค่ตัวนั้น ถูกตังค์ แต่รถไฟฟ้า มันทำแบบนี้ทำให้ชิ้นส่วนโดยรวมมีน้อย ต้นทุนเลยต่ำ ทำราคาได้ถูก แต่เวลาอะไรก็ตามในกล่องควบคุมตัวนี้มันเสีย มันแกะออกมาซ่อมเป็นอันๆ ไม่ได้ ก็ต้องเปลี่ยนยกกล่อง ทำให้แพงหูฉี่ เพราะต้องเปลี่ยนไอ้สิ่งที่ไม่ได้เสียไปด้วย นี่แหละความลำบากในระยะยาวของคนใช้รถยนต์ไฟฟ้า แม้ว่าเราจะรู้กันอยู่แล้วว่า คนไทยเก่ง แกะมาซ่อมได้แน่นอน แต่ตอนนี้ยังไม่มีคนทำได้เยอะแบบนั้น มันเลยยังเป็นปัญหาสำหรับคนใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันอยู่ 

ดังนั้นแล้ว คิดกันให้ดี คิดกันถี่ถ้วน ศึกษาหาข้อมูลก่อนซื้อดีๆ ว่ารถแต่ละรุ่น ของแต่ละค่าย ณ เวลานี้ คนที่ซื้อไปแล้ว เขาเจอกับปัญหาหรือสถานการณ์อย่างไรบ้าง ไม่ต้องรีบซื้อ คติของการซื้อรถไฟฟ้าก็คือ 

"ซื้อก่อนประหยัดก่อน ซื้อทีหลังประหยัดกว่า ซื้อวันหน้าดีที่สุด"

เอาจริงๆ ประเด็นปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เรื่องคุณภาพของ รถยนต์ EV อย่างที่หลายๆ คนกังวลใจกันอยู่นะครับ ไม่ว่าจะรถ EV หรือ รถยนต์สันดาปใช้น้ำมัน หรือ รถไฮบริด ก็ตาม เวลาผลิตออกมาที มันก็ต้องมีบางคนที่ Defect มีปัญหา มีอะไรบางอย่างเสียและต้องเคลมกันบ้างถือเป็นเรื่องปกติของการทำอุตสาหกรรมรถยนต์ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในบ้านเราคือ เรื่องของอะไหล่ที่ไม่เพียงพอ รอนาน การดูแล การซ่อมบำรุงหลังการขายที่มันช้ามากๆ จะด้วยปัญหา Supply Chain หลังบ้านที่ไม่ดี หรือ การบริหารจัดการอะไหล่มาไว้ในสต็อค หรือ ช่างที่ขาดความรู้ ขาดทักษะในการแก้ปัญหา อะไรก็ตามแต่ ผ่านมา 3 ปี ปัญหากลับดูเหมือนจะมีมากขึ้นแบบนี้ ย่อมต้องสร้างความหวั่นใจให้กับผู้ที่เป็นเจ้าของรถ EV กันทุกคนอยู่แล้ว และผมก็เป็นหนึ่งในนั้น คำแนะนำอย่างเดียวที่ผมจะมอบให้ได้ก็คือ 

"อย่าซื้อรถ EV เป็นรถคันเดียวของบ้านคุณ แต่ขอให้ซื้อเป็นรถทางเลือก และพยายามเลือกรุ่นที่มีราคาถูกที่สุด และพยายามซื้อให้ช้าที่สุด"

ถ้าทำตามนี้ได้ คุณจะเจ็บน้อย และลดความกังวลกับปัญหาต่างๆ ที่ผมได้มาเล่าให้ได้อ่านกันเอาไว้ ไม่มากก็น้อยแน่นอนครับ

ใหม่กว่า เก่ากว่า